Wednesday, November 9, 2016

HALLS


ประวัติของลูกอมฮอลล์
       ถือกำเนิดขึ้นโดย Mr.Hall เป็นผู้ที่ค้นพบสรรพคุณของเมนทอสและยูคาลิปตัส(หรือที่เรียกกันอย่างติดปากว่า เมนโทร-ลิปตัส) ถือได้ว่ามีอายุเก่าแก่ถึง 230 ปี ต่อมามีการเปลี่ยนมือผู้ร่วมทุนหลายครั้งปัจจุบัน แคดเบอรี อาดัมส์ (ประเทศไทย) เป็นบริษัทในเครือบริษัทแคดเบอรี่ชแวป Cadbury Schweppes)ในประเทศอังกฤษ มีพนักงานราว 2,000 คนในประเทศไทย และ 55,000 คน ใน 35 ประเทศทั่วโลก ส่วนของฮอลล์มีวางขาย 24 ประเทศ ต้นตำรับประเทศอังกฤษบริษัท แคดเบอรี่ ไม่ได้มีสินค้าแค่ลูกอมเท่านั้น ยังมีสินค้าอีกหลายชนิดทั้งลูกอม หมากฝรั่ง ช็อคโกแลต รวมทั้งเครื่องดื่ม ในส่วนของประเทศไทยเน้นหนักที่สินค้าประเภทขนมหวาน ลูกอมฮอลล์ถือเป็นพี่ใหญ่ของบริษัท โดยลูกอมฮอลล์และหมากฝรั่งจะมีส่วนแบ่งรายได้ประมาณ 80% ของบริษัทฯ
ยุคแรกของการทำตลาด
        เริ่มแรกของการทำตลาดลูกอมฮอลล์ใช้วิธีการไปกับหนังกลางแปลง ที่อาจจะมองแล้วเชยในปัจจุบัน แต่เมื่อเทียบกับสภาพสังคมในอดีตต้องถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่เข้าถึงผู้บริโภคอย่างแท้จริง อาณัติ จุลินทร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคดเบอรี อาดัมส์ (ประเทศไทย) จำกัด ย้อนอดีตให้ฟังว่า เท่าที่ฟังมาจากคนเก่าๆ ซึ่งอยู่มานาน เล่าว่า เดิมขายฮอลล์โดยเอาหนังกลางแปลงไปฉาย แล้วขายไปกับรถเร่ เป็นการสร้าง brand awareness ในสมัยนั้น มีการทำหนังโฆษณาฉายก่อน ซึ่งก็ได้ผลดี ฮอลล์กลายเป็นที่รู้จักเร็วขึ้น
        ลูกอมฮอลล์เมื่อเข้าสู่เมืองไทยต้องปรับตัวหลายประการ ในต่างประเทศรูปแบบการบรรจุฮอลล์จะมีปริมาณมากกว่ามีลักษณะเป็นแท่งและให้กระดาษหุ้มแยกเม็ด (troop) ส่วนประเทศไทยหรือประเทศกำลังพัฒนาใช้ฉลากพลาสติกซึ่งบรรจุแยกเม็ดเพื่อให้แยกขายได้ง่าย
ด้านการรับรู้เกี่ยวกับตัวสินค้าของผู้บริโภค อาณัติอธิบายว่าได้วาง Position ของ ลูกอมฮอลล์ไว้ที่สินค้าrefreshment ตั้งแต่ยุคแรก
       “ในต่างประเทศฮอลล์เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะ Mediated ช่วยลดอาการละคายคอ ส่วนประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศในเขตร้อนก็จะใช้เพื่อความชุ่มคอซึ่งเป็นจุดขายที่ชัดเจนทำให้ ฮอลล์ประสบความสำเร็จในการการทำตลาดอย่างรวดเร็วตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

การดำเนินกิจการ : ยังคงดำเนินกิจการมาได้ถึงปัจจุบันนี้และกระแสการตอบรับดีมาก
วิเคราะห์ : น่าจะเป็นเพราะการตลาดที่ทำเรื่องโฆษณาออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตัวโฆษณาเองนั้นสั้นกระชับ เข้าใจง่าย ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย หรือกลุ่มเป้าหมายนอกจากนักเรียนนักศึกษาแล้ว ยังเน้นวัยทำงานทั้งเพศหญิงเพศชาย การเน้นนวัตกรรมต่างๆ ที่มีมาต่อเนื่อง มีหลายรสชาติมาก การวางตำแหน่งตัวเองในตลาด การปรับตัวอย่างตลอดมา



ถือเป็นอีกหนึ่งจะตลาดที่ยังสามารถเติบโตได้ดีในภาวะที่ ปัญหาเศรษฐกิจส่งผลกระทบไปทุกวงการ สำหรับ ตลาดลูกอมที่ในปี 2558 โตขึ้นถึง 6.7% และคาดการณ์ว่า ปี 2559 จะสามารถเติบโตในอัตราที่เท่ากันหรืออาจจะมากกว่า
       เซกเมนต์ลูกอมเม็ดแข็ง เป็นกลุ่มที่เติบโตสูงสุดถึง 11.8% โดยมี ฮอลล์เป็นเจ้าตลาดในเซกเมนต์นี้ด้วยมาร์เก็ตแชร์ 56% ตามมาด้วย เซกเมนต์อื่นๆ ที่โต 8.4%, เซกเมนต์เยลลี่เคี้ยวหนึบ โต 6.4%, เซกเมนต์ลูกอมอัดเม็ด โต 2.2% และเซกเมนต์ลูกอมเคี้ยวหนึบ ที่โตน้อยที่สุดเพียงแค่ 1.1% โดยมีการวางจำหน่ายใน Modern Trade มากที่สุดถึง 70% ตามมาด้วย Traditional Trade ที่มีสัดส่วนอยู่ 30%


ปัจจุบันคนไทยยังคงทาน ลูกอมด้วยเหตุผลหลักที่ต้องการ ความสดชื่นโดยถ้ายี่ห้อไหนที่ให้ ความสดชื่นมาก ก็จะเลือกยี่ห้อนั้น ตามมาด้วยการดับกลิ่นปาก, เพลิดเพลิน และ แก้เบื่อ ซึ่งถ้า แบรนด์ ไหนสามารถตอบสนองความ ต้องการของผู้บริโภคได้ตรงจุดก่อนก็จะชิงความได้เปรียบจากผู้เล่นรายอื่นๆ อีกอย่างหนึ่งคือการหา “insight” ให้กับตัวสินค้า ก็จะสามารถชิงความได้เปรียบได้เช่นกัน

ล่าสุด เบอร์ 1” ของตลาดลูกอมได้เปิดตัวแคมเปญใหม่ตั้งแต่ต้นปี เพื่อชิงความได้เปรียบจาก ผู้เล่นรายอื่นๆในตลาด โดยคาดหวังให้เป็นการกระตุ้นตลาดลูกอมในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งถือเป็นช่วงวัดใจว่าจะ รุ่งหรือ ร่วงสำหรับปีวอก นอกจากนี้ยังต้องกระตุ้นความถี่ในการบริโภคของผู้บริโภคให้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม มีเดียมที่เป็นกลุ่มใหญ่มีสัดส่วนถึง 70% ให้พัฒนามาเป็นกลุ่ม เฮฟวี่ที่มีขนาดคิดเป็นมูลค่าถึง 50% ของตลาดให้มีสัดส่วนที่มากกว่านี้ ถือเป็นการโยน เชื้อเพลิงก้อนแรกของปีลงในสมรภูมิ ที่ช่วยสร้างความร้อนระอุในการแข่งขัน และทำให้ ตลาดลูกอมเป็นที่น่าจับตามองอีกหนึ่งตลาดสำหรับปีนี้


ฮอลล์มีกี่รสชาติ
       ในช่วงปี 2503 ฮอลล์รสแรกที่วางขายในไทยคือ รสเมนโทลิปตัส ตามด้วยรสรวมที่รวมปผลไม้หลายรสไว้ในกระป๋องเดียว ได้แก่ รสเชอร์รี่ รสน้ำผึ้งผสมกลิ่นเลม่อน รสมะนาว รสขิง รสชะเอม ซึ่งรสชาติที่ได้รับความนิยมมากที่สุดยุคนั้นคือ รสน้ำผึ้งผสมกลิ่นเลม่อน และ รสเมนโทลิปตัส ต่อมาในช่วงระหว่างปี
       พอเข้าช่วงปี 2533-2543 ฮอลล์ออกรสมะนาว รสราสพ์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ เฟรชมินต์ และ รสกีวีแอปเปิ้ล เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ในยุคนั้นให้มากยิ่งขึ้น และฮอลล์ยังแนะนำผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ เป็นแบบแท่งและแบบแผงเพื่อให้พกพาสะดวกและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า เป็นยุคที่ฮอลล์เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มากมายได้แก่
ฮอลล์ ไอซ์   เจาะกลุ่มตลาดผู้บริโภคที่อายุมากขึ้นเสริมสร้างภาพลักษณ์ของคนเมือง
ฮอลล์ ฟรุตตี้   ลูกอมสอดไส้รสผลไม้ เพิ่มลูกเล่นให้กับผลิตภัณฑ์
ฮอลล์ ซอฟต์   ครั้งแรกของฮอลล์ ที่ออกลูกอมเคี้ยวหนึบสองรสชาติในหนึ่งเดียว
ล่าสุดปี 2557 ฮอลล์เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ ฮอลล์ เอ็กซ์เอสลูกอมเม็ดเล็กที่คงความเย็นสดชื่น มาในกล่องสีดำพกพาง่าย ซึ่งประสบความสำเร็จด้านยอดขายเป็นอย่างมาก
STP
Segmentation แบ่งโดยใช้หลักของ demographic โดยแบ่งออกเป็น เพศ ช่วงอายุ อาชีพ และมีการใช้หลัก geographic โดยใช้พื้นที่ทางภูมิศาสตร์คือนอกเมืองและในเมือง

Target Group
       โดยกลุ่มลูกค้าหลัก คือ กลุ่มลูกค้าทั่วไปที่มีฐานที่กว้าง เรียกว่าครอบคลุมตั้งแต่เด็กวัยรุ่น จนถึงผู้ใหญ่ ในขณะที่บริษัทฯ ได้พัฒนาตัวสินค้าเพื่อเป็นทางเลือกให้กับกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น และมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความถี่ในการบริโภคของลูกอมเพิ่มขึ้น
       ลูกค้าจะแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเฮฟวี่ คือกลุ่มลูกค้าที่อมฮอลล์ทุกวัน และกลุ่มมีเดียม คือกลุ่มลูกค้าที่อมฮอลล์สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง และกลุ่มไลฟ์ คือกลุ่มลูกค้าที่อมฮอลล์เดือนละครั้ง โดยมีสัดส่วนจำนวนของกลุ่มลูกค้าที่ 20:70:10 ตามลำดับ ในขณะที่บริษัทฯ ได้พัฒนาตัวสินค้า เพื่อเป็นทางเลือกให้กับกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านความสดชื่น ดับกลิ่นปาก ผ่อนคลาย หรืออร่อย ทั้งนี้เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าในกลุ่มไลฟ์ และกลุ่มมีเดียมขึ้นไปสู่กลุ่มเฮฟวี่ในที่สุดนั่นเอง




 Positioning
ฮอลล์ มีการวาง positioning กับผู้บริโภค  คือ เมื่อผู้บริโภคต้องการอยากกินลูกอมเพื่อความสดชื่น แก้เหนื่อย หรือต้องการความชุ่มคอ ให้นึกถึงลูกฮอลล์ ตามสโลแกนของฮอลล์ที่ว่า เย็น สดชื่น ชุ่มคอและด้วยประวัติที่ยาวนานของฮอลล์ ทำให้ผู้บริโภคนึกถึงฮอลล์เมื่อต้องการความสดชื่น ชุ่มคอ

การทำการสื่อสารการตลาดของทาง Halls Thailand

โฆษณา (Advertising) 
โฆษณาทางโทรทัศน์



โฆษณา ณ จุดขาย(Point of Purchase)
การสื่อสาร ณ จุดซื้อ จึงมีความสำคัญ เนื่องจากเป็นด่านสุดท้ายของการตัดสินใจซื้อผลการวิจัยหลายฉบับของต่างประเทศ ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าผู้บริโภคจำนวน 60% ซื้อสินค้า เพราะถูกหลอกล่อด้วย POP


Sale Promotion
โดยส่วนมากจะเน้นไปที่การลด แจก แถม จะเห็นได้จาก การฉลองครอบรอบ 50 ปี ซึ่งได้มีโปรโมชั่นมากมาย นอกจากนี้ ฮอลล์ยังได้มีการทำ sale promotionที่เน้นการแจกเป็นพิเศษ  เช่น  แจกทองคำ โดยให้ผู้บริโภค พิมพ์รหัสส่งเข้าไปร่วมล้น

 ฮอลล์ฉลองครบรอบ 50 ปี ด้วยแพคเกจลิมิเต็ด เอดิชั่น พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษ



บริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านขนมและของว่าง ตอกย้ำแบรนด์ ฮอลล์ในฐานะผู้นำอันดับหนึ่งของตลาดลูกอม พร้อมเฉลิมฉลองการอยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนานผ่านแคมเปญสุดพิเศษ “50 ปี เย็นสดชื่นลูกอมอันดับหนึ่งคู่คนไทยแนะนำแพคเกจลิมิเต็ด เอดิชั่น โดดเด่นด้วย ฮอลล์ เลดี้หญิงสาวข้างกระป๋องฮอลล์สุดคลาสสิก หนึ่งในเอกลักษณ์อันน่าจดจำที่กลับมาสร้างสีสันอีกครั้งบนบรรจุภัณฑ์ ฮอลล์รุ่นพิเศษ พร้อมโปรโมชั่นอีกมากมาย เพื่อกระตุ้นยอดขายสินค้าและเพิ่มความถี่ในการบริโภคของลูกค้า
       สัมผัสความเย็นสดชื่นกับลูกอมฮอลล์ 2 รสชาติยอดนิยม ได้แก่ ฮอลล์รสน้ำผึ้งผสมกลิ่นเลมอน (Honey-Lemon) และ ฮอลล์รสเมนโท-ลิบตัส (Mentho-Lyptus) ในรูปแบบแพคเกจลิมิเต็ด เอดิชั่น ฉลองครบรอบ 50 ปี ทั้งแบบแผงในราคา 10 บาท แบบถุง 11 เม็ดในราคา 10 บาท และแบบแพ็ค 100 เม็ด (พร้อมแถมฟรีอีก 15 เม็ด) ในราคา 49.50 บาท
       พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษต่างๆ อาทิ ซื้อ 2 แผง รับฟรี 1 แผง ในเดือนมกราคม และข้อเสนออีกมากมายในเดือนกุมภาพันธ์ อาทิ ซื้อ 2 ถุง ในราคาเพียง 14 บาท, รับฟรี กระเป๋าผ้า เมื่อซื้อแบบแพ็ค 89 เม็ด, และรับฟรีกล่องภาชนะบรรจุอาหาร เมื่อซื้อแบบแพ็ค 250 เม็ด และ 350 เม็ด เป็นต้น
12 มกราคม 2559

ฮอลล์เย็นเหลือเชื่อ แจกล้นเหลือ ทอง 100 เส้น
ลุ้นรับโบนัสกับฮอลล์ทุกวัน ที่ 7-11 : เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ฮอลล์ ชนิดใดก็ได้* ครบ 20 บาท ขึ้นไป (ต่อใบเสร็จ) รับสิทธิ์ลุ้นรางวัลมูลค่ากว่า 500,000 บาท
พิมพ์ HL เว้นวรรค ตามด้วยเลขที่ใบเสร็จ 10 หลัก (หลังตัว R#)

ส่ง SMS มาที่ 4712011 (ครั้งละ 3 บาท)


Public and Relation

ฮอลล์ ฉลอง 50 ปี จับ “ฮอลล์ เลดี้” คัมแบ็ก

 


หลายคนอาจจะคุ้นเคย หรือเคยเห็นกับกล่องเหล็กบรรจุลูกอม “ฮอลล์” ที่จะมีรูปผู้หญิงวินเทจประทับอยู่ข้างกล่อง หรือเรียกว่า “ฮอลล์ เลดี้” ซึ่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำแบรนด์ไปแล้วเรียบร้อย แต่ฮอลล์เองก็ได้ปรับโฉมแพ็กเกจจิ้งอยู่เป็นประจำทุกปี ทำให้ในช่วง 10 หลังมานี้ ไม่ได้เห็นฮอลล์ เลดี้ปรากฏเลย แต่ในปีนี้ฮอลล์ได้ใส่เกียร์เดินหน้าบุกตลาดลูกอมตั้งแต่ต้นปี พร้อมทั้งเปิดตำราใช้ Retro Marketing นำฮอลล์ เลดี้มาปัดฝุ่นใหม่ สำหรับบิ๊กแคมเปญแห่งปีที่ครบรอบ 50 ปีในประเทศไทย 
       ความสำคัญของฮอลล์ เลดี้ในครั้งนี้ก็คือเพื่อกระตุ้นการรับรู้ของแบรนด์แก่ผู้บริโภค เพราะหลายคนยังจดจำได้ รวมไปถึงการใส่ Heritage ให้แบรนด์เป็นกิมมิกเล็กๆ โดยนำอินไซต์จากผู้บริโภคในยุคนี้ที่มีความชื่อชอบอะไรที่เป็นเรโทร หรือย้อนยุคจึงมีการทำแพ็กเกจจิ้งใหม่ที่มีฮอลล์ เลดี้อยู่บนซองเป็นลิมิเต็ดอิดิชั่นเฉพาะช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม
กรกต วุฒิหิรัญธำรง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์ลูกอมและหมากฝรั่ง บริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “แคมเปญนี้ถือเป็นแคมเปญใหม่แห่งปี และเราออกตัวเร็วเพราะต้องการกระตุ้นตลาดใช้โอกาสครบรอบ 50 ปีฮอลล์ในประเทศไทยด้วย เราพบว่าคนยังจำฮอลล์ เลดี้ได้เป็นอย่างดีจากกล่องลูกอมที่กลายเป็นของสะสมไปแล้ว เราจึงนำฮอลล์ เลดี้มาสร้างตำนานให้ฮอลล์ ซึ่งผู้บริโภคในยุคนี้ชอบอะไรที่เรโทรด้วย”



         “ตลาดลูกอมถือเป็นอีกหนึ่งสมรภูมิการค้าที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด และไม่มีการหยุดนิ่ง ในการพัฒนาทั้งด้านผลิตภัณฑ์ตัวสินค้า หรือช่องทางต่างๆ ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ทั้งกลุ่มลูกค้าเก่า และกลุ่มลูกค้าใหม่ด้วยกลยุทธ์ทางการตลาด โดยใช้จุดแข็งและความเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นรสชาติหรือสรรพคุณของลูกอมให้เป็นที่ถูกลิ้น ถูกคอ แก่ผู้บริโภค รวมทั้งความสะดวกและความทันสมัยของบรรจุภัณฑ์ เพื่อเป็นการดึงดูดผู้บริโภค ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะวัยเด็กจนถึงวัยชราได้
     
       เงินหนึ่งบาทซื้อลูกอมได้หนึ่งเม็ด สองบาทซื้อได้ 3 เม็ด ดูเป็นตลาดสินค้าราคาถูก เข้าถึงได้กับคนทุกวัย แต่กระนั้นหากดูมูลค่าตลาดรวม ตลาดลูกอมกลับมีมูลค่าสูงและมีการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี ท่ามกลางการแข่งขันของผู้ประกอบการ ในการผลิตสินค้าเพื่อออกมากระตุ้น และสร้างสีสันให้ตลาดอย่างต่อเนื่อง

Event
ฮอลล์ทุ่มงบกว่า100ล้านบาท อัดแคมเปญกระตุ้นตลาดคืนกำไรลูกค้า จัดกิจกรรมโปรโมททั่วประเทศ
ฮอลล์ เชื่อแม้สภาวะเศรษฐกิจไม่ดี แต่ไม่กระทบมาก เน้นแผนเพิ่มความถี่การบริโภคของลูกค้ามากขึ้น  ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท จัดแคมเปญคืนกำไรลูกค้า ฉลองครบรอบ 50 ปี ตั้งเป้ายอดขายปี59โตตัวเลขสองหลัก  นายฐานันท์ สุวรรณรักษ์ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย บริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดลูกอมปี 2558 ว่า มีมูลค่ารวมที่ 8,100 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 6.7 % โดยลูกอมเม็ดแข็งเติบโต 11.8 %  มีผู้ประกอบการรายใหญ่ ประมาณ แบรนด์ได้แก่ ฮอลล์ , คอลเล็ต, โอเล่ และ ฮาร์ทบีท โดยมีผลิตภัณฑ์ลูกอมเม็ดแข็งที่ครองส่วนแบ่งสูงที่สุดคิดเป็นสัดส่วน 43% ของตลาดโดยรวม ซึ่งมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 7%โดยฮอลล์ มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด สัดส่วน  23.8%(แบ่งแบรนด์ฮอลล์  เบส 18.2% และฮอลล์ XS 5.6%)  และคาดว่าในปี 2559 ตลาดรวมลูกอมจะเติบโตเพิ่มขึ้นเกือบ 10% เนื่องจากมีสินค้าใหม่ๆ เข้ามาในตลาดมากขึ้น โดยได้ทำการจัดอีเว้นท์และกิจกรรมประชาสัมพันธ์ในสถานที่ต่างๆทั่วกรุงเทพมหานคร และตามต่างจังหวัด
Update ล่าสุด จาก Thailand
ฮอลล์ Limited Edition”
       ในช่วง มกราคม-มีนาคม 2559 ฮอลล์ออกแพคเกจจิ้งใหม่เป็นรูป ‘Halls Lady Limited Edition’ สำหรับรสเมนโทลิปตัส และน้ำผึ้งผสมกลิ่นเลมอน เป็นการเฉลิมฉลองที่ฮอลล์ได้มอบความเย็นสดชื่นคู่คนไทยมาครบ 50 ปี  พอได้เห็น ฮอลล์เลดี้’ กลับมาอยู่คู่กับลูกอมฮอลล์อีกครั้งภาพกระป๋องฮอลล์สังกะสีหลากรสที่วางเรียงกันอยู่หน้าร้านโชว์ห่วยเมื่อสักยี่สิบปีก่อนก็ลอยมาทันที


Tuesday, November 1, 2016

KITKAT


คิทแคท คือ ขนมหวานเวเฟอร์แบบแท่งเคลือบช็อคโกแลต คิดค้นโดยโรวน์ทรี ที่เมือง ยอร์ค ประเทศอังกฤษ ปัจจุบันผลิตส่งไปทั่วโลกภายใต้บริษัท เนสท์เล่ (ซึ่งซื้อกิจการโรวน์ทรีตั้งแต่ปี 1988) ยกเว้นสหรัฐอเมริกาที่มีการผลิตภายใต้ เฮอร์ชี่่ คิทแคทหนึ่งบาร์(หรือเรียกเป็นชิ้นก็ได้) ประกอบด้วยเวเฟอร์สามชั้น เคลือบชั้นนอกสุดด้วยช็อคโกแลต แต่ละบาร์สามารถหักออกเป็นเวเฟอร์แท่งๆได้ คิทแคทหนึ่งบาร์จะประกอบไปด้วยเวเฟอร์สองหรือสี่แท่ง ส่วนคิทแคทแบบชังกี้ บาร์สจะเป็นแบบชิ้นใหญ่ๆชิ้นเดียวมีรอยแบ่งเป็นสามส่วน
     คิทแคทเป็นผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตนมสอดไส้เวเฟอร์ของเนสท์เล่ ซึ่งวางจำหน่ายเป็นครั้งแรกในปี 1935 เมื่อ 80 ปี ที่แล้ว และได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั่วโลกอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน คิทแคทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยผสมผสานช็อกโกแลตและเวเฟอร์ให้มีความหลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก ซึ่งคิทแคทขนาด 4 แท่ง 35 กรัม เป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดในประเทศไทย ความสำเร็จของคิทแคท ยังเกิดจากการสร้างแบรนด์อย่างสม่ำเสมอและการสื่อสารกับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้สโลแกนติดปากอย่าง 'คิดจะพัก คิดถึงคิทแคท' เหล่านี้ คือกุญแจสู่ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของคิทแคท

นอกจากคิทแคทเคลือบช็อคโกแลตนมที่เป็นที่โปรดปรานของผู้บริโภคทั่วโลก เนสท์เล่ประเทศไทยได้นำ คิทแคทชาเขียวอีกหนึ่งการพักที่ได้แรงบันดาลใจมาจากชาวญี่ปุ่น มาให้ไทยได้สัมผัสความหอมจากชาเขียวแท้ที่ผสมผสานกับช็อกโกแลตสอดไส้เวเฟอร์กรุบกรอบ จนได้ขนมที่อร่อยลงตัว


     ตลาดช็อกโกแลตในประเทศไทยมี 4 เซกเมนต์ คือ ชนิดบาร์ หรือแท่ง (Moulded) ชนิดสอดไส้ (Countline) ชนิดชิ้นพอดีคำ (Bite Size) และชนิดของขวัญ (Gifting) มูลค่ารวมประมาณ 5.1 พันล้านบาท แต่ละปีมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2555-2557) เติบโตเฉลี่ยปีละ 10% โดยส่วนใหญ่ใช้ช่องทางจัดจำหน่ายผ่านร้านสะดวกซื้อ 60% ห้างสรรพสินค้า 33% และร้านโชวห่วย 7%




SWOT Analysis (Kit Kat)
Strengths
เป็นแบรนด์ที่แข็งแรง ภายใต้เนสท์เล่
เป็นผู้ที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด
•Kit Kat มีความคิดสร้างสรรค์ที่เรียบง่ายและมองเห็นโฆษณาที่สโลแกน "คิดจะพัก คิดถึง Kit Kat" สร้างการรับรู้ในหมู่ลูกค้าโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนซึ่งจะสร้างการรับรู้แบรนด์สูง
ชุดผลิตภัณฑ์แคทสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายในขณะที่มันสามารถพบได้ในร้านขายของชำขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ไฮเปอร์มาร์เก็ต
ราคาไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
Weaknesses
ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ ถ้าคุณกินอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดโรคเบาหวานเพราะความหวานของช็อคโกแลต
การบรรจุภัณฑ์ยังไม่เป็นที่ดึงดูดใจ
ช็อคโกแลตละลายเร็ว
•Kit Kat  ออกช็อคโกแลตรสชาติใหม่ แต่ไม่ค่อยติดตลาด ผู้บริโภติยมแต่รสดั้งเดิม
การจัดจำหน่ายยังไม่ทั่วถึงโดยเฉพาะหมู่บ้านเล็กๆ
Opportunities
การเจริญเติบโตของตลาดช็อคโกแลตสูงขึ้น
คนไทยหันมาบริโภคช็อคโกแลตมากขึ้น
การเจริญเติบโตของเทคโนโลยีช่วย Kit Kat อย่างต่อเนื่องในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเป็นที่มีคุณภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพได้โดยทำจากช็อคโกแลต
Threats
สังคมใส่ใจในเรื่องสุขภาพมากขึ้น
ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน
เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย
STP
SEGMENTATION
Geographic Segmentation ทั้งในเขตเมืองและชนบทประชากรแบ่งกลุ่มทุกเพศทุกวัย
 Psychographic Segmentation ความปรารถนาของ Consumerสำหรับช็อคโกแลต ผู้ที่มีความชื่นชอบช็อคโกแลต
 TARGETING
      Kit Kat กลุ่มเป้าหมาย:
           ·ทั่วทุกเพศทุกวัยส่วนใหญ่ ผู้บริโภคหลักเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยเริ่มทำงานทั้งชายและหญิงที่มีอายุ 15-34 ปี แบ่งเป็นผู้หญิง 60% ผู้ชาย 40%
           ·ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่วัยรุ่นและนักเรียนนักศึกษา
POSITIONING
      ให้ผู้บริโภคนึงถึง Kitkat หากต้องการทานช็อคโกแลต ตามสโลแกนที่ว่า คิดจะพัก คิดถึงKitkat   และเป็นช็อคโกแลตที่มีคุณภาพสูง แต่ราคาไม่แพง

การทำการสื่อสารการตลาดของทาง Kit kat thailand
โฆษณา (Advertising) Kit kat มีการทำโฆษณาหลายรูปแบบเพื่อเข้าถึงลูกค้าที่มีหลากหลายกลุ่มทั้ง


โฆษณาทางโทรทัศน์

โฆษณา ณ จุดขาย (Point of Purchase) การสื่อสาร ณ จุดซื้อ จึงมีความสำคัญ เนื่องจากเป็นด่านสุดท้ายของการตัดสินใจซื้อผลการวิจัยหลายฉบับของต่างประเทศ ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าผู้บริโภคจำนวน 60% ซื้อสินค้า เพราะถูกหลอกล่อด้วย POP


โฆษณาบน Internet (Banner Ad)
Youtube ผ่านทางช่อง เนสท์เล่ โดยมีการอัพโหลดวิดีโอหนังสั้นโฆษณาของผลิตภัณฑ์ของ kitkat


เว็บไซต์มีเว็บไซต์หลักของ https://www.nestle.co.th/th/brands/chocolate_confectionary/kitkat ที่มีข่าวประชาสัมพันธ์ สินค้า โปรโมชั่น ของ kitkat รวมไปถึงการทำคลิปสาธิตวิธีการทำซักผ้าง่ายๆ เคล็ดลับต่างๆของเรื่องภาพ ที่ผู้ชมสามารถทำตามได้ที่บ้าน
Facebook โดยทาง kitkat มีการเลือกใช้สื่อของ Facebook เพื่อให้เข้ากับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีความรวดเร็วในการลงสื่อต่างๆ โดยใช้เป็นสื่อหลักในการทำกิจกรรม จัดโปรโมชั่นต่างๆ

Sell Promotion
ในส่วนของการทำโปรโมชั่นของ kitkat มีการทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นการขายและการซื้อจากทั้งลูกค้าและร้านค้า เพื่อให้ลูกค้ามีการซื้อที่เพิ่มมากขึ้น การส่งเสริมการซื้อการขายโดยการ แจกทอง แลกตั๋วหนัง ซื้อคิทแคทแถมแสตมป์ ลดราคาต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าซื้อของเพิ่มขึ้น สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ลูกค้าเห็นถึงความสำคัญของสินค้า




ข่าวประชาสัมพันธ์ PR
คุณก็พักแบบญี่ปุ่นได้ คิทแคท ชาเขียว ใหม่ ลองซะ!
     สิ้นสุดการรอคอยสำหรับสาวกคิทแคทชาเขียว บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ขอแนะนำ คิทแคท ชาเขียว ครั้งแรกในประเทศไทย อร่อยฟินกับขนมชาเขียวสอดไส้เวเฟอร์ที่ผสานความหอมของชาเขียวมัทฉะแท้แบบญี่ปุ่นกับเวเฟอร์อย่างลงตัว เป็นช็อกโกแลตขวัญใจวัยรุ่นภายใต้แนวคิด "คุณก็พักแบบญี่ปุ่นได้" และได้รับเครื่องหมายรับรอง "ฮาลาล" จากสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย มีวางจำหน่ายแล้วที่เซเว่น-อีเลฟเว่น และร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ ใน 3 ขนาดได้แก่ 17 กรัม ราคา 20 บาท 35 กรัม ราคา 35บาท และ 136 กรัม ราคา 115 บาท อร่อยได้ง่ายๆ ที่เมืองไทยในราคาสบายกระเป๋า ไปลองกันซะ!


Events ของ Kitkat
อาเล็กนำทีมเน็ตไอดอล เสิร์ฟความอร่อย เปิดตัว คิทแคท ชาเขียวครั้งแรกในไทย


สิ้นสุดการรอคอยแล้ว สำหรับไอเท็มยอดนิยมอันดับต้นๆ ที่คนไทยแห่ไปซื้อจากญี่ปุ่นเป็นของฝากเพื่อนฝูง เพราะ คิทแคท โดย บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม เพื่อโภชนาการ สุขภาพ และคุณภาพชีวิตที่ดีระดับโลก ได้เชิญหนุ่มอารมณ์ดี อาเล็ก-ธีรเดช นั่งแท่น
          แบรนด์แอมบาสเดอร์ของคิทแคท แทคทีมเน็ตไอดอลขวัญใจคนรุ่นใหม่ ม๊าเดี่ยว-อภิเชษฐ์ และ เบ๊น อาปาเช่เปิดตัว "คิทแคท ชาเขียว" อย่างเป็นทางการครั้งแรกในเมืองไทย อร่อยกับขนมชาเขียวสอดไส้เวเฟอร์ที่ผสานความหอมของชาเขียวมัทฉะแท้แบบญี่ปุ่นกับเวเฟอร์อย่างลงตัว เสิร์ฟประสบการณ์พักกับความอร่อยสไตล์ญี่ปุ่นในราคาสบายกระเป๋า และหาซื้อง่ายให้กับแฟนๆ และเหล่าวัยรุ่นได้สัมผัสทั่วประเทศ ณ ศูนย์การค้าสยามสแควร์วัน



Update ล่าสุด จาก Thailand


พักดูหนังฟรีกับคิทแคท
เงื่อนไข
นำซองเปล่า คิทแคท ขนาด 102 กรัม 4 ซอง  มารับสิทธิแลก บัตรชมภาพยนตร์ฟรี 1 ที่นั่ง ที่เคาน์เตอร์ M-Corner  โดยรับ Code เพื่อแลกซื้อบัตรชมภาพยนตร์ที่ตู้ E-ticket
บัตรชมภาพยนตร์ฟรี เฉพาะที่นั่งปกติ ในระบบ Digital 2D เท่านั้น (สามารถอัพเกรดที่นั่งเป็น Honeymoon Seat หรือระบบ Digital 3D ได้โดยจ่ายเพิ่มส่วนต่างจากราคาที่นั่งปกติ)
• 1 คนสามารถแลกได้ไม่จำกัด
ลูกค้าสามารถทำรายการจองรอบและบัตรภาพยนตร์ในวันที่ทำการแลกสิทธิ์เท่านั้น
โปรโมชั้นนี้มีจำนวนจำกัด 13,000 สิทธิ์
สิทธิพิเศษนี้ไม่สามารถแลก เปลี่ยน โอน หรือ ทอนเป็นเงินสด และไม่สามารถร่วมกับโปรโมชั่น รายการส่งเสริมการขายอื่นๆ ได้
บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์เก็บชิ้นส่วนผลิตภัณฑ์ไว้เป็นหลักฐานการแลกรับสิทธิ์
บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

ตั้งแต่วันที่  1 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2559
สาขาที่ร่วมรายการ : เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์, อีจีวี ทุกสาขา, พาราไดร์ ซีนีเพล็กซ์, หาดใหญ่ ซีนีเพล็กซ์, อีสต์วิลล์ ซีนีเพล็กซ์, เวสต์เกต ซีนีเพล็กซ์, และ ไดอาน่า ซีนีเพล็กซ์















Tuesday, October 25, 2016

Maybelline


ความเป็นมา  Maybelline

เมย์เบลลีน นิว ยอร์กเข้ามาในเมืองไทยมาประมาณ 10 ปี ภายใต้การทำตลาดของ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด โดยปีที่ผ่านมามียอดขายที่เติบโตกว่าตลาดรวมเครื่องสำอางกว่า 3 เท่าตัว และยังครองความเป็นเครื่องสำอางอันดับ 1 ของโลกความสำเร็จนี้มาจากการที่เมย์ เบลลีนฯ มีฝ่ายวิจัยและพัฒนาสินค้าที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายในเอเชีย โดยมีศูนย์วิจัยในจีนและญี่ปุ่น ส่วนในประเทศไทยก็มีการทำสำรวจการตลาดอย่างต่อเนื่องอีกปัจจัยแห่งความสำเร็จ มาจากการที่เมย์เบลลีนฯ มีการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากโฆษณาทางทีวีที่ออกอากาศในทุกเดือน เพื่อตอกย้ำความเป็นแบรนด์ที่มีความทันสมัยอยู่เสมอ ผ่านสินค้าต่างๆ ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์แป้ง มาสคาร่า อายไลเนอร์ ลิปบาล์ม และบีบีครีม
คุณเสาวนีย์ วงษ์สมพิพัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ผลิตภัณฑ์เมย์เบลลีน นิว ยอร์ก บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า กลยุทธ์หลักในการทำตลาดเครื่องสำอาง เมย์เบลลีนฯ คือ การคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย วางราคาที่ตัดสินใจซื้อได้ง่าย และมีช่องทางการจำหน่ายครอบคลุม





STP
S กลุ่มผู้หญิงวัยรุ่น กลุ่มผู้หญิงวัยทำงาน และอื่นๆ
T กลุ่มลูกค้าผู้หญิงทั่วประเทศ ที่ชื่นชอบเมคอัพ มีความมั่นใจ และสีสันของแฟชั่น เมย์เบลลีนฯ ซึ่งเป็นผู้หญิงอายุ     20 -40 ปี กลุ่มผู้หญิงวัยรุ่น กลุ่มผู้หญิงวัยทำงาน
P โดยเครื่องสำอางเมย์เบลลีน ได้วางตำแหน่งในใจผู้บริโภค ให้ผู้บริโภครับรู้ว่าเมย์เบลลีนเป็นเครื่องสำอางอันดับ 1 ให้เป็น (top of mind)
       สำหรับเครื่องสำอางเมย์เบลลีน นิวยอร์ก แบ่งเป็น 4 กลุ่มได้แก่ 1. กลุ่มผลิตภัณฑ์กลุ่มผิวหน้า 2. กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อดวงตา 3. กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับริมฝีปาก ประกอบด้วย4. คลีนเซอร์
       หาซื้อได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป , โมเดิร์นเทรด, ไฮเปอร์มาร์เก็ต , ดรักส์สโตร์, เซเว่น-อีเลฟเว่น และร้านค้าปลีกทั่วประเทศ


การโฆษณา (Advertising)

มีการโฆษณาอย่างต่อเนื่องในสื่อโทรทัศน์



โฆษณาแฝงในสื่อโทรทัศน์
ผ่านรายการ The face Thailand ทางช่อง 3



โฆษณาบน Internet (Overlay in video ads)
ผ่านทางเว็บไซต์ https://www.maybelline.co.th/


โฆษณา ณ จุดขาย (Point of Purchase)
   มี Standing ของสินค้าที่ขายในขณะนั้นตั้งไว้ด้านหน้าร้าน เพื่อให้ลูกค้าได้ทราบถึงข้อมูลต่างๆสินค้า ว่า
ช่วงนี้มีสินค้าอะไร โปรโมชั่นมีอะไรบ้าง ราคาของสินค้า การสื่อสาร ณ จุดซื้อ จึงมีความสำคัญ เนื่องจากเป็นด่านสุดท้ายของการตัดสินใจซื้อผลการวิจัยหลายฉบับของต่างประเทศ ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าผู้บริโภคจำนวน 60% ซื้อสินค้า เพราะถูกหลอกล่อด้วย POP



Youtube

            ผ่านทาง Channel Maybellinethailandมีการอัพโหลดวิดีโอเพื่อประชาสัมพันธ์องค์กรและโปรโมทสินค้าใหม่ เพื่อให้ลูกค้าทั้งกลุ่มเดิมและกลุ่มใหม่ได้รับทราบถึงสินค้าใหม่ 


เว็บไซต์
          ตัวอย่างเว็บไซต์คือ https://www.maybelline.co.th/ ที่มีข่าวประชาสัมพันธ์ สินค้า โปรโมชั่น
 


social networks
มีการกระจายข่าวอย่างต่อเนื่อง เช่น Face book, Twitter, Line, Instagram 
Facebook Fanpage


Twitter
 

Instragram

การขายโดยใช้พนักงาน Personal selling

เป็นผู้ที่คอยแนะนำสินค้า พร้อมเสนอขายสินค้าให้กับลูกค้า ซึ่งพนักงานเหล่านี้จะถูกคัดเลือก และถูกฝึกประสบการณ์เป็นอย่างดี เพื่อการบริการลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด


Maybelline NewYork มีการใช้ Personal selling โดยมีการตั้งเคาท์เตอร์แบรนด์ ให้ลูกค้าได้มีโอกาสทดลองสินค้า และในบางครั้งมีการทดลองแต่งหน้า ทั้งนี้ Maybelline NewYork มีการให้ข้อมูลสินค้า และเสนอขายสินค้า ผ่าน BA (Beauty Assistants) ที่ถูกคัดสรรอบรมงานบริการลูกค้ามาเป็นอย่างดี
การประชาสัมพันธ์ (PR) ของ MAYBELLINE
เมย์เบลลีน นิวยอร์ก เปิด MAKE IT HAPPEN Girls ด้วยสาวไทยคนแรก สะบัดสไบพร้อมเมคอัพลุคสุดปังต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ MAKE IT HAPPEN กันถึงมหานครนิวยอร์ก


  เมย์เบลลีน นิวยอร์ก แบรนด์เครื่องสำอางอันดับหนึ่งของโลก เดินหน้าตอกย้ำแบรนด์สเตทเมนท์ใหม่ล่าสุด "MAKE IT HAPPEN" ที่ผลักดันให้ผู้หญิงทุกคนกล้าที่จะออกไปทำตามความฝันของตัวเองจนสำเร็จ เพราะทุกๆวันของผู้หญิงคือเกม โดยมีเมย์เบลลีน นิวยอร์กเป็นผู้ช่วยในการเตรียมพร้อมและความมั่นใจให้ผู้หญิงทุกคนด้วยเมคอัพชิ้นต่างๆ ผ่านทางดิจิตัลแคมเปญ #makeupmyway
   ต้อนรับเดือนเมษายน กับสาวฮอตคนแรก เจ้าของร้านอาหารไทย Pinto Restaurant ในนิวยอร์ก
"คุณธัญญ่า-โบว์" โชว์ความเป็นไทยต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ใน ชุดสไบไทยที่พร้อมมาสะบัดพริ้วกลางไทม์สแควร์
 พร้อมกับเมคอัพแบบจัดเต็ม และเตะตาแบบสุดๆด้วยชฎาสุดอลังการงานสร้างที่เรียกว่าลงตัวได้อย่างไม่มีที่ติ งานนี้บอกเลยว่าทุกสิ่งที่ทางเมย์เบลลีน นิวยอร์กตั้งใจนำไปเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมไทย ก็เรียกเสียงฮือฮาสร้างความประทับใจให้แก่ชาวต่างชาติ และผู้ที่ผ่านไป-มาในย่านไทม์สแควร์ไม่น้อย
สุดยอดอีเว้นท์แห่งปี “MAKE IT HAPPEN by Maybelline New York” กับ 3พรีเซ็นเตอร์สุดแซ่บ กับ เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ, เบลล่า-ราณี แคมเปน
และ ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์
เตรียมกลับมาเจอกันอีกครั้ง สำหรับ 3 พรีเซ็นเตอร์สาวสวยสุดแซ่บแห่งครอบครัวเมย์เบลลีน นิวยอร์ก กับ
 เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ
, เบลล่า-ราณี แคมเปน และ ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ ในสุดยอดอีเว้นท์ใหญ่แห่งปี "MAKE IT HAPPEN by Maybelline New York" ครั้งแรกกับการเปิดตัว Maybelline New York Brand Statement 2016 "MAKE IT HAPPEN" ที่งานนี้ทั้งสามต่างก็ซุ่มซ้อมโชว์พิเศษเพื่อเตรียมมาเซอร์ไพรส์แฟนๆ งานนี้แอบกระซิบเลยว่าทั้ง เจนี่, เบลล่า และ ญาญ่า ไม่มีใครยอมกันเลย ต่างก็เคลียร์คิวมาซ้อมหนักจัดเต็ม เตรียมประชันกันแบบสุดๆ แฟนคลับใคร ทีมใคร
 คงต้องเตรียมป้ายไฟและเสียงกรี๊ดยกก๊วนไปเชียร์กันเอง ในวันจันทร์ที่
28 มีนาคม 2559 ตั้งแต่เวลา 18.30 น. เป็นต้นไป ณ แฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 สยามพารากอน
เมย์เบลลีน นิวยอร์กตอกย้ำความเป็นผู้นำเมคอัพ เปิดตัวคุชชั่นใหม่พร้อมดันยอดขายพุ่งอันดับ 1




เมย์เบลลีน นิวยอร์ก แบรนด์เครื่องสำอางค์อันดับ 1 ของโลก เดินหน้ารุกตลาดแมสเมคอัพด้วยผลิตภัณฑ์คุชชั่นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการและเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ด้วยการเปิดตัว 'ซุปเปอร์ บีบี คุชชั่น' พร้อมอัดแคมเปญชูความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์ 'แตะเดียว! ปกปิดสุดเนียน
 คุณญาดา ศาสตรสาธิต ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์เมย์เบลลีน นิวยอร์ก กล่าวว่า "เมย์เบลลีน นิวยอร์ก เป็นแบรนด์เครื่องสำอางค์อันดับ 1 ของโลก ดังนั้นเมื่อมีเทรนด์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เราจึงต้องเป็นผู้นำในตลาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเซกเม้นท์บีบีและซีซี ซึ่งมียอดขายใหญ่ที่สุดของแบรนด์ มีอัตราการเติบโตต่อปีมากกว่า 114% สำหรับกลุ่มเป้าหมายของ ซุปเปอร์ บีบี คุชชั่น โฟกัสไปที่กลุ่มผู้บริโภคผู้หญิงอายุ 18-35 ปี ที่ต้องการปกปิดผิวหน้าให้เรียบเนียน แต่มีเวลาจำกัดในการแต่งหน้าพร้อมยังต้องการเติมระหว่างวันโดยไม่ทำให้สีผิวเปลี่ยนเราจึงได้นำเสนอผลิตภัณท์ ซุปเปอร์ บีบี คุชชั่น ที่ตอบโจทย์ด้วยเทคโนโลยีเพียวมิเนอรัล พิกเมนต์ และมอยส์เจอร์ไรซิ่งเอสเซนส์ที่ตอบโจทย์เรื่องการปกปิดอย่างเรียบเนียนพร้อมบำรุงผิวในตัว อีกทั้งยังช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีด้วย SPF29 PA+++ ซึ่งจากคุณสมบัติเหล่านี้มาในราคา 499 บาท จึงทำให้แบรนด์สามารถครองใจกลุ่มสาวๆได้ไม่ยาก"
Corporate Social Responsibility (CSR)
Maybelline NY สร้างโครงการเจ๋งช่วยสาวๆ พิการทางสายตาให้แต่งหน้าด้วยตัวเองจากคำสั่งเสียง!
เพราะผู้หญิงทุกคนไม่เคยอยากจะหยุดสวย แต่กับผู้หญิงบางคนอาจจะไม่ทราบถึงวิธีการดูแลผิวพรรณของตัวเอง เพราะเธอไม่ทราบว่าผลิตภัณฑ์ไหนใช้งานยังไงและผลลัพธ์คืออะไร นั่นก็คือ ผู้หญิงที่มีปัญหาทางสายตา ไม่ทราบว่าใช้เสร็จแล้วผิวพรรณบนใบหน้าของพวกเธอจะเป็นอย่างไร
ดังนั้น แบรนด์เครื่องสำอางดังอย่าง Maybelline NY จึงคิดทำโครงการ Audio Makeup ที่เป็นเว็บไซต์ให้คำแนะนำการดูแลผิวหน้าและการแต่งหน้าด้วยคำสั่งเสียง
โดยในเว็บไซต์ http://www.audiomakeup.com.br จะมีข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องสำอางแต่ละชนิดว่าใช้อย่างไร และผลลัพธ์ที่ได้คืออะไร เช่น โทนเนอร์ รองพื้น ที่ทาขอบตา ฯลฯ โดยทั้งหมดจะมีเสียงผู้หญิงพูดให้คำแนะนำอย่างละเอียด ทุกอย่างควบคุมได้ด้วยการกดปุ่มบนคีย์บอร์ด ซึ่งผู้พิการทางสายตาที่เล่นคอมประจำก็สามารถเข้าถึงข้อมูลได้
ถือเป็นโครงการ CSR ดีๆ เจ๋งๆ ที่ Maybelline NY ต้องการเข้าถึงใจผู้หญิงทุกๆ คนที่อยากจะสวยไม่แพ้ใครเลยจริงๆ ทั้งยังสามารถนำไปใช้กับประเทศต่างๆ ได้อีกด้วยแค่มีการแปลภาษาและอ่านเสียงเข้าไปใหม่!


ลอรีอัล (ประเทศไทย) จัดกิจกรรม “ลอรีอัล ซิติเซ่น เดย์” (L’Oreal Citizen Day 2016)       มอบหนึ่งวันทำงานรวมทีมผู้บริหาร พนักงานจิตอาสากว่า 400 คน พร้อมด้วยพรีเซนเตอร์การ์นิเย่ เมน ผลิตภัณฑ์ในเครือลอรีอัลรีอัล อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม ร่วมด้วยกลุ่มพันธมิตรหลัก อาทิ สตรีนักวิทยาศาสตร์จากเวทีทุนวิจัยลอรีอัล ประเทศไทย เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์ จังหวัดสมุทรปราการ ศูนย์จัดการพื้นที่   สีเขียวเชิงนิเวศนครเขื่อนขันธ์ กลุ่มเครือข่ายรักษ์คุ้งบางกระเจ้า และ กลุ่มนักเรียนในบริเวณพื้นที่ ร่วมทำประโยชน์คืนสู่สังคมอย่างยั่งยืน สานต่อกลยุทธ์และนโยบายการดำเนินงานของบริษัท มุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจให้บรรลุเป้าหมาย “Sharing Beauty With All” หรือ "การแบ่งปันความงดงามให้ทุกสรรพสิ่ง” พร้อมร่วมฉลองในโอกาสครบรอบ 107 ปี ลอรีอัล กรุ๊ป ภายใต้ คอนเซ็ปต์ I Feel Good to Do Good รู้สึกดีที่ได้ทำ ณ บางกระเจ้า สมุทรปราการ
นางนาตาลี เกอร์ชไตน์ เคอโรวดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “กิจกรรม ซิติเซ่น เดย์ (Citizen Day) เป็นกิจกรรมที่ลอรีอัลทั้ง 130 ประเทศทั่วโลก จัดขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบบริษัท โดยในปีนี้นับว่าเป็นการครบรอบปีที่ 107 ของการก่อตั้ง และเป็นปีที่ 7 ของกิจกรรม ซิติเซ่น เดย์ (Citizen Day) ภายใต้คอนเซ็ปต์ I Feel Good to Do Good รู้สึกดีที่ได้ทำ นอกจากนี้ยังเป็นการระลึกถึงความมุ่งมั่นของลอรีอัลที่จะร่วมสร้างสังคมให้สวยงามและเท่าเทียมกัน ด้วยสำนึกแห่งความรับผิดชอบตามเจตนารมณ์ของ มร. ยูชีน ชูแลร์ นักเคมีชาวฝรั่งเศสผู้ก่อตั้งบริษัท”
โดย ซิติเซ่น เดย์ (Citizen Day) เป็นกิจกรรมที่มอบหนึ่งวันทำงานให้พนักงานจิตอาสาได้ทำประโยชน์คืนสู่สังคมอย่างยั่งยืน สำหรับในปีนี้ ลอรีอัล ประเทศไทย นำทีมโดยกลุ่มผู้บริหาร และพนักงาน จิตอาสาเข้าร่วมกว่า 400 คน พร้อมด้วยพรีเซนเตอร์การ์นิเย่ ผลิตภัณฑ์ในเครือลอรีอัล อนันดา เอเวอร์    ริ่งแฮม เข้าร่วมกิจกรรม โดยตลอด 6 ปีที่ผ่านมากิจรรม ซิติเซ่น เดย์ (Citizen Day) มีพนักงานจิตอาสาจากทั่วโลกเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวกว่า 25,000 คน ด้วยจำนวนชั่วโมงในการบำเพ็ญประโยชน์มากกว่า 200,00 ชั่วโมงจากทั่วโลก
นางนาตาลี กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เราสนับสนุนให้พนักงานทำความดีเพื่อสังคมมาโดยตลอด ในฐานะที่ลอรีอัลเป็นผู้นำด้านความงามระดับโลก นอกจากการรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ความงามให้แก่ผู้คนทั่วโลกแล้ว ก็ยังไม่ลืมที่จะสร้างความสวยงามให้แก่สังคมรอบตัวด้วยการส่งต่อความดีให้แก่กันด้วยการทำความดีให้สังคม ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรที่มุ่งพัฒนาด้านธุรกิจความงามควบคู่กับการทำประโยชน์ตอบแทนคืนสู่สังคม นอกจากนี้ยังเป็นการสานต่อนโยบายและหนึ่งในกลยุทธ์  การดำเนินงานของบริษัท ภายใต้พันธสัญญาว่าด้วยความยั่งยืน Sharing Beauty with All หรือ การแบ่งปันความงดงามให้ทุกสรรพสิ่ง เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นภายในปี 2020 นับว่าเป็นความมุ่งมั่นของ ลอรีอัลในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายของลอรีอัล กรุ๊ป ซึ่งประกอบไปด้วยการสร้างนวัตกรรม กระบวนการผลิตอย่างยั่งยืน การใช้ชีวิต และการพัฒนาในด้านต่างๆ ด้วยความยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง”
โดยในปีนี้ ลอรีอัล (ประเทศไทย) ได้เลือกพื้นที่บริเวณ บางกระเจ้า สมุทรปราการ เป็นสถานที่ในการทำกิจกรรม เนื่องจากบางกระเจ้าเป็นสถานที่ที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ แต่ยังคงแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์จนกลายเป็นแหล่งผลิตโอโซนติดอันดับโลก รวมทั้งได้รับการขนานนามว่าเป็น ปอด ของกรุงเทพ และได้รับการยกย่องว่าเป็น The Best Urban Oasis of Asia ในปี 2006 จากนิตยสาร Time Asia อีกด้วย สำหรับกิจกรรมในปีนี้ ประกอบไปด้วย
·       กิจกรรมปลูกต้นลำพู ณ ชมรมอนุรักษ์ต้นลำพู บางกระสอบ เพื่อเป็นการคงธรรมชาติให้มีความสมบูรณ์ต่อไป เนื่องจากต้นลำพูเป็นต้นไม้หลักที่ใช้ในการชี้วัดคุณภาพระบบนิเวศ
·       กิจกรรมทาสีเส้นทางปั่นจักรยาน (สวนป่า) เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่บริเวณบางกระเจ้า ได้รับความนิยมให้เป็นเส้นทางปั่นจักรยานอันดับต้นในกลุ่มนักปั่น และเพื่อเป็นการปรับวิสัยทัศน์       บนเส้นทางปั่นจักรยานดังกล่าว
·       กิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ความรู้กับนักเรียนในชุมชน เกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อมผ่านกิจกรรมต่างๆ นำโดย ผศ. ดร.อรฤทัย ภิญญาคง หนึ่งในนักวิจัยสตรี ผู้ที่เคยได้รับการสนับสนุนผ่านโครงการทุนวิจัยลอรีอัลประเทศไทย เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์ เมื่อปี 2557 พร้อมด้วย   คณะนิสิต จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
·       กิจกรรมบริการตัดผมฟรี ณ สวนศรี นครเขื่อนขันธ์ บริการตัดผมฟรีให้แก่ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณบางกระเจ้า โดย พนักงานจิตอาสา แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ
นางนาตาลี กล่าวทิ้งท้ายว่า “กิจกรรม ซิติเซ่น เดย์ (Citizen Day) จะยังคงดำเนินต่อไปในทุกปี เพื่อเป็นการปลูกจิตสำนึกในเรื่องของสิ่งแวดล้อม สำหรับกิจกรรมในปีนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสานต่อเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวัน รวมทั้งสามารถสร้างประโยชน์ให้แก่บางกระเจ้า และทำประโยชน์ให้แก่สังคมได้อย่างยั่งยืน”



Sell Promotion
Maybelline มีการส่งเสริมการขายโดยเน้นไปที่ การลด แจก เพื่อกระตุ้นยอดขาย

มีโปรโมชั่นลดราคาเครื่องสำอางประจำเดือน ในทุกๆเดือน แต่จะมีการเปลี่ยน produce ประจำ

รับส่วนลดจากการใส่โค้ด ที่ เว็บไซต์ Wemall.com




การเชิญชวนผู้ติดตามในแฟนเพจร่วมกิจกรรม เพื่อลุ้นรับผลิตภัณฑ์ของทางเมย์เบอลีน โดยกิจกรรมจะมีให้ร่วมเป็นช่วงๆ